การยุติการตั้งครรภ์ในประเทศไทย: กฎหมายใหม่ที่มีผลบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบัน
มาตรา 301 แห่งประมวลกฎหมายอาญา การทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมายทั้งสิ้นเว้นแต่การตั้งครรภ์ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพหรือจิตใจของผู้ตั้งครรภ์ หรือผู้ตั้งครรภ์มีอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือเป็นเหยื่อเนื่องจากการข่มขืน หรือตัวอ่อนในครรภ์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเกิดความบกพร่องหรืออาจพิการร้ายแรง โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท และหากมีอายุครรภ์ที่มากกว่า 12 สัปดาห์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนและปรับไม่เกิน 10,000 บาท
ในปัจจุบันกฎหมายต่อต้านการทำแท้งยังมีความเข้มงวด ส่วนหนึ่งอาจมีผลมาจากความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่การทำแท้งถูกมองว่าเป็นบาปเนื่องจากการทำลายชีวิตทารกโดยผู้เป็นแม่ อีกทั้งยังเกี่ยวโยงกับการส่ำส่อนทางเพศ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนส่วนใหญ่นับถือและหลักธรรมที่ศาสนาสอนคือการให้ละอายในการกระทำบาป เช่น การกระทำที่ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการทำแท้ง ผู้ที่ตั้งครรภ์อาจพยายามยุติการตั้งครรภ์กับแพทย์แล้ว แต่เนื่องจากแพทย์กลัวจะทำการละเมิดกฎหมายและจริยธรรมทางวิชาชีพและมีแนวคิดส่วนตัวจึงปฏิเสธ ผู้ตั้งครรภ์จึงเลือกทางอื่นไม่ได้นอกเหนือจากการเลือกทำแท้งผิดกฎหมาย ในรายงานล่าสุดองค์การอนามัยโลกชี้ว่าการทำแท้งแบบไม่ปลอดภัยและถูกอนามัยนั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 1 ใน 8 ของผู้หญิงในเอเชีย
การเรียกร้องเพื่อการเปลี่ยนแปลง
ตามกฎหมายเดิม ผู้ตั้งครรภ์สามารถทำแท้งอย่างปลอดภัยได้ ภายในสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์โดยแพทย์ที่ยินยอม การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่วัยรุ่น กฎหมายยังมีความคลุมเครือจึงจำเป็นต้องผลักดันให้มีการแก้ไข การแก้ไขจะช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหาวิธีการทำแท้งอย่างปลอดภัยและมั่นใจว่าถูกกฎหมาย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะทำให้ผู้ตั้งครรภ์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับความอันตรายต่อการตั้งครรภ์และต่อชีวิต ซึ่งมีการรณรงค์เรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2561 เพียงปีเดียวรายงานสุขภาพเผยว่าในทุกๆ 1,000 คนมีวัยรุ่นตั้งครรภ์ถึง 35 คน โดยผู้ตั้งครรภ์คือเด็กหญิงที่มีอายุเพียง 15 ถึง 19 ปี
การตอบกลับ: กฎหมายที่ได้รับการแก้ไข
แพทยสภาและราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยหน่วยงานชั้นนำอื่นๆ ในด้านอนามัยการเจริญพันธุ์เสนอให้มีการแก้ไข แพทยสภากล่าวว่าการตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 12 สัปดาห์ สามารถทำแท้งได้อย่างปลอดภัยโดยจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังให้เหตุผลอีกว่าผู้ตั้งครรภ์ที่ทำแท้งต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากพอจึงไม่เห็นสมควรที่จะถูกคุกคามและต้องทรมานกับการดำเนินคดีทางอาญาหรือโดนลงโทษ หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั้งสองแห่งยังกล่าวอีกว่า การยุติการตั้งครรภ์ตามแนวปฏิบัตินั้นอยู่ภายใต้ช่วงเวลาที่เหมาะอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องออกกำหนดกฎหมายอย่างเป็นทางการ คณะรัฐมนตรีเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้และตกลงที่จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 และ 305 เพื่อให้ผู้ตั้งครรภ์สามารถยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยได้ภายใน 12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ กฎหมายใหม่นี้จะคุ้มครองทั้งผู้ตั้งครรภ์และแพทย์จากการถูกดำเนินคดี
การแก้ไขกฎหมายจะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรก่อนจากนั้นจึงจะส่งร่างกฎหมายเร่งด่วนไปยังรัฐสภา โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ก่อนเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
กฎหมายใหม่นี้เข้าใจได้ง่ายและมีความชัดเจนโดยจะมาแทนที่มาตรา 301 ของประมวลกฎหมายอาญาซึ่งห้ามและลงโทษการทำแท้งภายใน 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ การแก้ไขกฎหมายนี้จะเป็นการกำหนดกฎหมายอย่างเป็นทางการ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ว่า กฎหมายทำแท้งที่มีอยู่นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากละเมิดสิทธิของผู้หญิงในการควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเอง นอกจากนี้กฎหมายเดิมยังมีความล้มเหลวในเรื่องของการเอาผิดฝั่งผู้ชายที่บีบบังคับให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หันไปทำแท้งแบบผิดกฎหมาย กฎหมายแก้ไขฉบับนี้ยอมรับถึงความร้ายแรงของประเด็นการทำแท้งและสิทธิในการมีชีวิตของทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม กฎหมายใหม่นี้มิได้ละเลยสิทธิและเสรีภาพของผู้หญิงในฐานะผู้แบกรับการตั้งครรภ์และผู้ที่มีชีวิตอยู่ก่อนทารกในครรภ์ การปฏิเสธอำนาจการตัดสินใจของผู้หญิงในการยุติการตั้งครรภ์จะเป็นการละเมิดความยุติธรรมและละเมิดสิทธิพื้นฐานในร่างกาย เธอมีสิทธิโดยธรรมและพื้นฐานในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้น เธอจึงมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกที่จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและชีวิตของเธอ ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
กฎหมายใหม่นี้ลดโทษสำหรับการทำแท้งผิดกฎหมาย โดยคำนึงถึงความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจที่ผู้หญิงต้องเผชิญจากประสบการณ์ดังกล่าว
กฎหมายมาตรา 301 แก้ไขแล้วยังคงมีบทลงโทษอยู่แต่มีการลดโทษลง การทำแท้งสำหรับการตั้งครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ยังคงมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี แต่กฎหมายใหม่กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน .ในส่วนของค่าปรับก็มีการลดลงจาก 60,000 บาท เป็น 10,000 บาท ส่วนประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 ที่แก้ไข กำหนดว่า ผู้หญิงที่ยุติการตั้งครรภ์ภายใน 12 สัปดาห์ จะไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายภายใต้เงื่อนไข 4 ประการ 1. กรณีที่การตั้งครรภ์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายหรือจิตใจของผู้ตั้งครรภ์อย่างร้ายแรง 2. กรณีที่มีหลักฐานยืนยันว่าทารกมีโอกาสสูงที่จะเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติทางร่างกายหรือทางจิต อาจเป็นโรคหรือพิกลพิการ 3. กรณีที่การตั้งครรภ์เกิดขึ้นจากการข่มขืน 4. กรณีที่การยุติการตั้งครรภ์เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับผู้หญิง
ผลกระทบ
สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยได้รับการยกย่องว่ากฎหมายใหม่ฉบับนี้เป็นก้าวที่สำคัญที่มีการรอคอยมานานและส่งเสริมและยอมรับสิทธิมนุษยชนของผู้หญิง ทางสมาคมรู้สึกโล่งใจที่คู่รักที่ยังไม่พร้อมมีบุตร ไม่จำเป็นต้องหันไปใช้วิธีการนอกกฎหมายเพื่อยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายครั้งนี้ ทำให้ไทยมีภาพลักษณ์เป็นประเทศที่ก้าวหน้าและยอมรับความหลากหลายทางความคิดมากขึ้นภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กฎหมายการทำแท้งในประเทศเวียดนาม กัมพูชาและสิงคโปร์ ให้สิทธิผู้ที่ตั้งครรภ์การตัดสินใจได้อย่างอิสระ โดยเวียดนามมีนโยบายสนับสนุนการทำแท้งฟรี ในขณะที่มาเลเซียจะอนุญาตภายใต้สถานการณ์ที่ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อสุขภาพกายหรือสุขภาพจิตของผู้ที่ตั้งครรภ์ กฎหมายของอินโดนีเซีย เมียนมาร์และบรูไนก็มีนโยบายช่วยเหลือผู้หญิงที่คล้ายกัน
Category: กฎหมายอาญา

About the Author (Author Profile)
สยาม ลีเกิ้ล เป็นสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งประกอบไปด้วยทนายความผู้มีประสบการณ์ทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศ สำนักงานในประเทศไทยนี้ให้บริการทางกฎหมายอย่างครอบคลุมต่อลูกความท้องถิ่นและต่างประเทศสำหรับคดีความ เช่น คดีแพ่งและอาญา ข้อพิพาททางแรงงาน คดีทางการค้า การหย่า การรับเป็นบุตร การส่งผู้ร้ายข้ามแดน ฉ้อโกง และคดีเกี่ยวกับยาเสพย์ติด ความเชี่ยวชาญอีกด้านหนึ่งของสำนักงานคือ บริการเกี่ยวกับกฎหมายบริษัท เช่น การจดทะเบียนบริษัท และการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย กฎหมายครอบครัว ทรัพย์สิน และการสืบสวนส่วนบุคคล